ไขความลับกุญแจสู่การประสบความสำเร็จของทัพเรือใบสีฟ้าที่ไม่ใช่แค่เรื่องเงินเท่านั้น
แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ผงาดคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกสมัยที่ 5 ในรอบ 6 ปีหลังสุด เป็นการครองความยิ่งใหญ่ที่เราไม่ได้เห็นนับตั้งแต่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในช่วงปี 1996 และ 2001 ซึ่งที่คล้ายกันคือไม่ใช่แค่มีนักเตะและกุนซือที่ยอดเยี่ยม แต่ยังเป็นรากฐานของสโมสร, รังเหย้า, สนามซ้อม, การลงทุนเยาวชน และการขยายแบรนด์ต่าง ๆ ออกไปทั่วโลก
ที่ต่างกันคือ แมนฯ ซิตี้ ทำได้โดยไม่มีประวัติศาสตร์อันยาวนานเหมือนสโมสรอื่นอย่าง ลิเวอร์พูล, อาร์เซนอล, แมนฯ ยูไนเต็ด และ เชลซี ที่ครองฐานความนิยมอย่างเหนียวแน่นในพรีเมียร์ลีกและทั่วโลกมาตลอดหลายสิบปี และนี่คือสิ่งที่ทำให้พวกเขาประสบความสำเร็จ ณ ขณะนี้
ความฝันของ โซเรียโน
หลังจากคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกสมัยแรกในปี 2012 รากฐานความยิ่งใหญ่จริง ๆ ของทีมสร้างขึ้นหลังจากนั้นไม่กี่เดือนต่อมา เมื่อพวกเขาจ้าง เฟร์ราน โซเรียโน เข้ามาเป็นหัวหน้าฝ่ายบริหาร ซึ่งเขาคือคนที่ทำให้ บาร์ซา เติบโต ขึ้นอย่างมากในฐานะแบรนด์ในช่วงเวลา 5 ปีที่ดำรงตำแหน่งรองประธานสโมสร ซึ่งทำให้ทีมมารายได้เพิ่มขึ้นสามเท่าในปี 2003-2008 ก่อนจะย้ายตาม เป๊ป มาทำงานด้วยกัน
เมื่อปี 2006 ที่ Birkbeck College, โซเรียโน เคยบอกว่าสโมสรฟุตบอลควรมองตัวเองเป็นบริษัทข้ามสัญชาติแบบ Disney และทำให้ตัวเองกลายเป็นแฟรนไชส์ ซึ่งเขาได้ทำจริง ๆ กับ ซิตี้ สร้างเครือข่ายของทีมรอบโลกทั้งใน อุรุกวัย, สหรัฐฯ, อินเดีย, ญี่ปุ่น, ออสเตรเลีย, ฝรั่งเศส, เบลเยียม, สเปน และ บราซิล
ภายใต้การบริหารของ โซเรียโน, แมนฯ ซิตี้ กลายเป็นสโมสรที่มีรายได้สูงสุดในโลก ทำเงินไป 713 ล้านยูโร ตามรายงานของ Detroit Money League กลายเป็นสโมสรที่มีมูลค่ามากที่สุดเป็นอันดับสองของโลกตามการจัดอันดับบของ แบรนด์ ไฟแนนซ์ ตามหลังเพียง เรอัล มาดริด
อดทนเพื่อรอ เป๊ป กวาร์ดิโอลา
งานแรก ๆ ของ โซเรียโน คือการรวมพวกพ้องที่ บาร์เซโลนา มาร่วมงานกันที่ แมนฯ ซิตี้, ซิกิ เบกิริสไตน์ ผู้ที่คว้า โรนัลดินโญ, เดโก้ และ เธียร์รี อองรี ไปเล่นในถิ่นคัมป์ นู กลายมาเป็นผู้อำนวยการกีฬาของ ซิตี้
ในตอนที่ เป๊ป เลือกย้ายไปคุม บาเยิร์น ในปี 2013 พวกเขาไม่ได้ตื่นตระหนก พร้อมเฝ้ารอให้กุนซือคาตาลันเสร็จภารกิจในเยอรมนีก่อนที่สามปีต่อมาจะหากันจนเจอ
แม้จะเริ่มต้นด้วยการจบอันดับสามในฤดูกาลแรก แต่แล้ว เป๊ป ก็สามารถพาทีมคว้าแชมป์ลีก 3 สมัยรวด เหมือนกับที่เขาทำได้กับ บาร์เซโลนา และ บาเยิร์น มิวนิค อีกครั้ง
แผนเสริมทัพถูกจุดและไม่ตื่นตระหนก
ขณะที่ เชลซี กว้านซื้อดาวรุ่งและนักเตะชื่อดังจากทั่วทั้งโลก รวมถึง ยูไนเต็ด ที่มักจะสร้างเสียงฮือฮาด้วยนักเตะชื่อดังทุกซัมเมอร์ ซิตี้ มักมีแผนเสริมทัพที่เป็นแบบแผนของพวกเขาอยู่เสมอ
ทันทีที่ เป๊ป เข้ามาคุมทีม ซิตี้ เริ่มสร้างทีมที่กุนซือของพวกเขาต้องการที่จะเล่น เริ่มด้วยการขับ โจ ฮาร์ท นายประตูมือหนึ่งทีมชาติอังกฤษออกจากทีม สร้างความช็อคให้กับแฟนบอล แต่เมื่อคำนึงถึงความสามารถในการเล่นฟุตบอลด้วยเท้า ซึ่งไม่เข้ากับระบบของ เป๊ป
ซิตี้ เลือกคว้า เคลาดิโอ บราโว มาเฝ้าเสาซึ่งก็ยังไม่ตอบโจทย์ ก่อนแก้ไขอย่างรวดเร็วด้วยการคว้า เอแดร์ซอน มาร่วมทีมในปีถัดมา และกลายเป็นกุญแจสำคัญในความสำเร็จของทีม
หนึ่งในการเซ็นสัญญาที่ดีที่สุดต้องมีชื่อ รูเบน ดิอาส ที่มาเป็นหัวใจแนวรับ และในปีนี้ เออร์ลิง ฮาลันด์ ที่เข้ามาถล่มประตูเป็นว่าเล่น
ใช้จ่ายสุทธิน้อยกว่า พาเลซ และ ลีดส์
แผนเสริมทัพระยะยาวของ ซิตี้ นั้นออกดอกออกผล แม้จะเสริมทั้ง ฮาลันด์ และ ฟิลลิปส์ มาร่วมทีม แต่ยังทำให้การเงินของทีมเป็นบวก ด้วยการปล่อยทั้ง ราฮีม สเตอร์ลิง, โอเล็กซานเดอร์ ซินเชนโก้ และ กาเบรียล เชซุส ทำเงินได้ถึง 124 ล้านปอนด์อีกทั้งยังได้เงินจากสัญญาของนักเตะอีก 4 คนรวม เปรโด ปอร์โร ที่ไม่เคยลงเล่นให้กับทีมชุดใหญ่
ซิตี้ ปิดตลาดด้วยการใช้เงินสุทธิไปเพียง -8.3 ล้านปอนด์ น้อยสุดเป็นอับดับสี่ในพรีเมียร์ลีก น้อยกว่า คริสตัล พาเลซ และ ลีดส์ ยูไนเต็ด และสูงกว่าเพียงแค่ ไบรท์ตันฯ, เลสเตอร์ ซิตี้ และ เอฟเวอร์ตัน เท่านัน้
กลับกัน เชลซี จัดหนัก 480 ล้านปอนด์, แมนฯ ยูไนเต็ด 203 ล้านปอนด์และ นิวคาสเซิล 161 ล้านปอนด์ แต่พวกเขาเป็นแชมป์ในท้ายที่สุด
นอกจากนี้ ค่าเหนื่อยซิตี้ยังจ่ายเป็นอันดับสามในลีก ที่ 182 ล้านปอนด์ต่อฤดูกาล เป็นรอง แมนฯ ยูไนเต็ด (211 ล้านปอนด์) และ เชลซี 212 ล้านปอนด์)
การลงทุนที่ยั่งยืนในโครงสร้างที่แข็งแกร่ง
ไม่ใช่แค่ลงทุนเรื่องเสริมทัพ แต่ ซิตี้ ยังให้ความสำคัญกับระบบเยาวชน โดยทุ่มเงิน 200 ล้านปอนด์สร้างอคาเดมี่ขึ้นมา แทนที่เก่าที่อยู่ใกล้ แคร์ริงตัน ของ ยูไนเต็ด โดยสร้างขึ้นใกล้กับ เอติฮัด สเตเดี้ยม ที่ทำให้ทีมได้เปรียบเรื่องการขนส่งและกลยุทธ์
การลงทุนครั้งนี้ส่งผลทั้งนักเตะชุดใหญ่ทั้ง ฟิล โฟเด้น, โคล พาลเมอร์ และ ริโก้ ลูอิส ที่ทะลุขึ้นทีมชุดใหญ่ และการทำเงินให้สโมสรอย่าง โรเมโอ ลาเวีย, เจดอน ซานโช และ บราฮิม ดิอาซ
ซิตี้ ขยายสังเวียนของพวกเขาในตอนที่เปลี่ยนชื่อสนามเป็น เอติฮัด สเตเดี้ยม ในปี 2010 เพิ่มความจุจาก 48,000 เป็น 53,000 ที่นั่งในปี 2014 และเมื่อเดือนที่ผ่านมามีแผนทุ่ม 300 ล้านปอนด์ปรับเป็น 60,000 ที่นั่งในอนาคต
สอดคล้องกับการจำหน่ายตั๋วที่มีเปอร์เซนต์จำหน่ายถึง 99 เปอร์เซนต์เมื่อฤดูกาลที่แล้ว โดยเกมใหญ่และเกมสำคัญอย่าง ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก มักจำหน่ายเกลี้ยงทุกเกม
นักเตะไม่ใช่คนผิด
แน่นอนว่าปัญหาที่เกิดขึ้นหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซิตี้ ฉลองแชมป์พรีเมียร์ลีกโดยไม่รู้ว่าผลการตัดสินคดีละเมิดกฎการเงินของพรีเมียร์ลีกจะออกมาเป็นอย่างไร ผลการตัดสินอาจตามมาในอีก 1-2 ปีข้างหน้า อาจถูกตัดแต้ม, ริบแชมป์ หรือ ขับพ้นลีก ไม่มีใครทราบ
ในสายตาคนนอกและคู่แข่ง ความสำเร็จชอง ซิตี้ อาจไม่ผ่องใสเมื่อพวกเขาถูกกล่าวหาละเมิดกฎ 115 ครั้งในปี 2009-2018 หรือเริ่มตั้งแต่กลุ่มทุน อาบูดาบี เทคโอเวอร์สโมสร
หากผิดจริง ซิตี้ ต้องถูกลงโทษตามเหมาะสม แต่ไม่ว่าผลการตัดสินจะออกมาเป็นอย่างไร ไม่มีใครปฏิเสธได้ว่าทีมของ เป๊ป กวาร์ดิโอลา คือหนึ่งในชุดที่ยอดเยี่ยมที่สุดแห่งโลกฟุตบอล